สปสช.พร้อมรับฟังข้อเสนอจากทุกภาคส่วน และออก 7 มาตรการเชิงรุก โดยเน้นการรักษาระยะห่าง ลดโอกาสแพร่เชื้อ จึงได้สนับสนุนมาตรการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ งบกองทุนบัตรทองปี 63 อัตราไม่เกินครั้งละ 50 บาท หน่วยบริการเข้าร่วม 349 แห่งทั่วไทย
- มาตรการที่ 1 ผู้ป่วยที่ต้องการรับยาทางไปรษณีย์ สามารถโทรสอบถามโรงพยาบาลหรือแพทย์ที่รักษาอยู่ เพื่อให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมต่อไป เพราะไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนจำเป็นต้องส่งยาทางไปรษณีย์
- มาตรการที่ 2 สปสช.ยังเน้นการลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยขยายโครงการรับยาใกล้บ้าน เพิ่มระบบโรงพยาบาลจัดสำรองยาที่ร้านยา หรือ ระบบเติมยาผู้ป่วยที่ร้านยา ซึ่งปัจจุบันมีร้านยาเข้าร่วมอยู่แล้ว 1,000 แห่ง แต่จะมีการขยายไปยังร้านยาทั่วประเทศที่มีอยู่กว่า 14,000 แห่ง
- มาตรการที่ 3 เป็นส่วนสำคัญ เนื่องจากประชาชนเดินทางกลับบ้าน ทำให้ไม่ได้อยู่ใกล้กับหน่วยบริการทางการแพทย์ สปสช.จึงอนุญาตให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีสิทธิพิเศษสามารถรับยาหรือบริการทางการแพทย์ที่จำเป็นนอกหน่วยบริการประจำได้ ถือเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- มาตรการที่ 4 หากผู้ป่วยตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ที่ไปตรวจโรงพยาบาลเอกชน สามารถนอนรักษาที่โรงพยาบาลนั้นได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดย สปสช.ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้
- มาตรการที่ 5 สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้น จะต้องย้ายไปอยู่โรงพยาบาลสนาม ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนงบฯ เพื่อให้ สปสช.สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้ป่วยได้ ซึ่งปกติคิดค่าใช้จ่ายคืนละ 1,000-2,000 บาท เพราะยังมีส่วนที่ต้องระวังการติดเชื้อ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ สปสช.ต้องสนุบสนุน
- มาตรการที่ 6 เสนอแก้ไขประกาศ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึง อสม. ให้เพิ่มอัตราจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายกรณีโควิด-19 เป็น 2 เท่าจากเดิม เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อที่ต้องทำงานรักษาผู้ป่วย โดยกำลังจะออกมาเป็นประกาศเร็วๆ นี้
- สุดท้ายคือการมอบเลขาธิการ สปสช.และประธานบอร์ด สปสช.พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข อัตราค่าใช้จ่าย การจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยบริการ เพื่อทันต่อสถานการณ์เพราะเป็นเรื่องใหม่และเร่งด่วน เพื่อตอบสนองต่อปัญหาในปัจจุบันและรองรับเหตุที่จะเกิดในอนาคต